"คำสอนพ่อ"
ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส
คนไทยทุกๆคน คุณอาจลืมบางสิ่งบางอย่างไป หรือป่าว?
เรียบเรียงโดย นส.จีรัตดา ภูศรีฤทธิ์ 51010811131g3 FN
อ้างอิง:http://www.youtube.com/watch?v=NfEHb2TiXXE&feature=related
http://www.kamphorsorn.org/
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
คำสอนพ่อ
"คำสอนพ่อ"
ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส
เรียบเรียงโดย:นส.จีรัตดา ภูศรีฤทธิ์ 51010811131g3 FN
อ้างอิงhttp://www.youtube.com/watch?v=H3ildwSK0Rw&feature=related
ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส
คนไทยทุกๆคน คุณอาจลืมบางสิ่งบางอย่างไป หรือป่าว?
เรียบเรียงโดย:นส.จีรัตดา ภูศรีฤทธิ์ 51010811131g3 FN
อ้างอิงhttp://www.youtube.com/watch?v=H3ildwSK0Rw&feature=related
เกษตรปราณี
ขอนำเสนอเรื่อง
การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นทฤษฎีแห่งการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการบริหารงานในการทำการเกษตรที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ทรงพระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย เพื่อแก้ไขปัญหาการเกษตร โดยการแบ่งพื้นที่การเกษตรออกเป็น 4 ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่งขุดสระกักเก็บน้ำ จำนวน 30% ของพื้นที่ ส่วนที่สอง ปลูกข้าว จำนวน 30% ของพื้นที่ ส่วนที่สาม ปลูกไม้ผลไม้ยืนต้นและส่วนที่สี่ เป็นพื้นที่ที่ใช้สร้างสิ่งปลูกสร้างเช่น ที่อยู่อาศัย โรงเรือนเลี้ยงสัตว์ ฉาง จำนวน 10% ของพื้นที่ จำนวนสัดส่วนของพื้นที่นี้ทั้งหมดสามารถปรับเพิ่มหรือลด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสภาพพื้นที่แต่ละแห่ง เช่นครอบครัวหนึ่งมีสมาชิกจำนวน 4 คน พื้นที่มีแหล่งน้ำใช้ได้ตลอดทั้งปี แต่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำก็ควรปรับลดพื้นที่ขุดสระ และเพิ่มพื้นที่นาข้าวเพื่อให้มีข้าวบริโภคเพียงพอตลอดทั้งปี

พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง จำนวน 3.6 ไร่ ขุดสระกักเก็บน้ำจำนวน 2 สระ สามารถกักเก็บน้ำ
ได้รวม 10,455 ลูกบาศก์เมตร เพียงพอต่อการนำน้ำมาใช้ในการทำการเกษตรได้ทั้งปีแต่การ
ผันน้ำมาใช้นั้น ยังคงต้องใช้เครื่องจักรกลในการสูบน้ำมาใช้ ทำให้สูญเสียพลังงานเชื้อเพลิง
จำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ถ้าสามารถลดการใช้พลังงานลงได้หรือ หาพลังงาน เชื้อเพลิงอื่นทดแทน หรือมีการวางแผนการใช้น้ำ เช่น หากพื้นที่มีระดับที่ต่างกันมาก สามารถวางท่อนำน้ำออกมาใช้โดยไม่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำและน้ำมัน เป็นการจัดการทำให้
ต้นทุนการเกษตรลดลงได้ในระยะยาว
พื้นที่ส่วนที่สอง 3.6 ไร่ (30%) ใช้ปลูกข้าว ดำเนินการในปี 2547 เตรียมดิน หว่านกล้าและปักดำโดยใช้ข้าวจ้าวหอมมะลิ 105 จำนวน 40 กิโลกรัม ทำการกำจัดวัชพืชในนาข้าว โดยการถอน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16 – 20 – 0 จำนวน 30 กิโลกรัมและปุ๋ยเคมีสูตร 40 – 0 – 0 จำนวน 30 กิโลกรัม
พื้นที่ส่วนที่สาม 3.6 ไร่ (30%) ปลูกพืชแบบผสมผสาน โดยแบ่งพื้นที่ปลูกดังนี้
1. พื้นที่จำนวน 2 ไร่ ปลูกมะม่วงพันธุ์โชคอนันต์ จำนวน 50 ต้น
2. พื้นที่จำนวน 0.5 ไร่ ปลูกกล้วยน้ำหว้า จำนวน 60 ต้น
3. พื้นที่จำนวน 0.5 ไร่ ปลูกพืชผัก จำนวน 20 แปลง
4. พื้นที่จำนวน 0.6 ไร่ ปลูกไม้ใช้สอย อาทิเช่น
ต้นสัก จำนวน 30 ต้น
ต้นยูคาลิปตัส จำนวน 80 ต้น
ต้นไผ่รวก จำนวน 10 ต้น
ต้นไผ่ตง จำนวน 5 ต้น
ต้นหวาย จำนวน 30 ต้น
พื้นที่ส่วนที่สี่ 1.2 ไร่ (10%) เป็นพื้นที่สร้างที่อยู่อาศัยและคอกสัตว์
1. สร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ จำนวน 1 หลังขนาด 3*4 เมตร เลี้ยงไก่แล้ว 3 รุ่น จำนวน 200 ตัว คัดไว้เป็นพ่อพันธุ์ จำนวน 2 ตัวและแม่พันธุ์ จำนวน 10 ตัว
2. สร้างโรงเรือนเลี้ยงเป็ดจำนวน 1 หลัง ขนาด 3*4 เมตร ใช้เลี้ยงเป็ด 3 รุ่น จำนวน 129 ตัว คัดไว้เป็นพ่อพันธุ์ จำนวน 2 ตัวและแม่พันธุ์ จำนวน 10 ตัว
3. สร้างโรงเรือนสุกร จำนวน 1 หลัง ขนาด 3.5*19.5 เมตร ดำเนินการเลี้ยงสุกรจำนวน 20 ตัว
4. สร้างศาลาถ่ายทอดเทคโนโลยี จำนวน 1 หลัง ขนาด 3.5*10.5 เมตร ใช้เป็นพื้นที่แสดงและถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรและผู้สนใจทั่วไป
เรียบเรียงโดย:นส.จีรัตดา ภูศรีฤทธิ์ 51010811131g3 FN
อ้างอิง :http://blog.phunkasert.com/
http://www.dld.go.th/trcr_cri/Agriculture/detail.htm
http://www.youtube.com/watch?v=XdE6DkD1AII&feature=related
การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นทฤษฎีแห่งการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการบริหารงานในการทำการเกษตรที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ทรงพระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย เพื่อแก้ไขปัญหาการเกษตร โดยการแบ่งพื้นที่การเกษตรออกเป็น 4 ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่งขุดสระกักเก็บน้ำ จำนวน 30% ของพื้นที่ ส่วนที่สอง ปลูกข้าว จำนวน 30% ของพื้นที่ ส่วนที่สาม ปลูกไม้ผลไม้ยืนต้นและส่วนที่สี่ เป็นพื้นที่ที่ใช้สร้างสิ่งปลูกสร้างเช่น ที่อยู่อาศัย โรงเรือนเลี้ยงสัตว์ ฉาง จำนวน 10% ของพื้นที่ จำนวนสัดส่วนของพื้นที่นี้ทั้งหมดสามารถปรับเพิ่มหรือลด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสภาพพื้นที่แต่ละแห่ง เช่นครอบครัวหนึ่งมีสมาชิกจำนวน 4 คน พื้นที่มีแหล่งน้ำใช้ได้ตลอดทั้งปี แต่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำก็ควรปรับลดพื้นที่ขุดสระ และเพิ่มพื้นที่นาข้าวเพื่อให้มีข้าวบริโภคเพียงพอตลอดทั้งปี

พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง จำนวน 3.6 ไร่ ขุดสระกักเก็บน้ำจำนวน 2 สระ สามารถกักเก็บน้ำ
ได้รวม 10,455 ลูกบาศก์เมตร เพียงพอต่อการนำน้ำมาใช้ในการทำการเกษตรได้ทั้งปีแต่การ
ผันน้ำมาใช้นั้น ยังคงต้องใช้เครื่องจักรกลในการสูบน้ำมาใช้ ทำให้สูญเสียพลังงานเชื้อเพลิง
จำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ถ้าสามารถลดการใช้พลังงานลงได้หรือ หาพลังงาน เชื้อเพลิงอื่นทดแทน หรือมีการวางแผนการใช้น้ำ เช่น หากพื้นที่มีระดับที่ต่างกันมาก สามารถวางท่อนำน้ำออกมาใช้โดยไม่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำและน้ำมัน เป็นการจัดการทำให้
ต้นทุนการเกษตรลดลงได้ในระยะยาว
พื้นที่ส่วนที่สอง 3.6 ไร่ (30%) ใช้ปลูกข้าว ดำเนินการในปี 2547 เตรียมดิน หว่านกล้าและปักดำโดยใช้ข้าวจ้าวหอมมะลิ 105 จำนวน 40 กิโลกรัม ทำการกำจัดวัชพืชในนาข้าว โดยการถอน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16 – 20 – 0 จำนวน 30 กิโลกรัมและปุ๋ยเคมีสูตร 40 – 0 – 0 จำนวน 30 กิโลกรัม
พื้นที่ส่วนที่สาม 3.6 ไร่ (30%) ปลูกพืชแบบผสมผสาน โดยแบ่งพื้นที่ปลูกดังนี้
1. พื้นที่จำนวน 2 ไร่ ปลูกมะม่วงพันธุ์โชคอนันต์ จำนวน 50 ต้น
2. พื้นที่จำนวน 0.5 ไร่ ปลูกกล้วยน้ำหว้า จำนวน 60 ต้น
3. พื้นที่จำนวน 0.5 ไร่ ปลูกพืชผัก จำนวน 20 แปลง
4. พื้นที่จำนวน 0.6 ไร่ ปลูกไม้ใช้สอย อาทิเช่น
ต้นสัก จำนวน 30 ต้น
ต้นยูคาลิปตัส จำนวน 80 ต้น
ต้นไผ่รวก จำนวน 10 ต้น
ต้นไผ่ตง จำนวน 5 ต้น
ต้นหวาย จำนวน 30 ต้น
พื้นที่ส่วนที่สี่ 1.2 ไร่ (10%) เป็นพื้นที่สร้างที่อยู่อาศัยและคอกสัตว์
1. สร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ จำนวน 1 หลังขนาด 3*4 เมตร เลี้ยงไก่แล้ว 3 รุ่น จำนวน 200 ตัว คัดไว้เป็นพ่อพันธุ์ จำนวน 2 ตัวและแม่พันธุ์ จำนวน 10 ตัว
2. สร้างโรงเรือนเลี้ยงเป็ดจำนวน 1 หลัง ขนาด 3*4 เมตร ใช้เลี้ยงเป็ด 3 รุ่น จำนวน 129 ตัว คัดไว้เป็นพ่อพันธุ์ จำนวน 2 ตัวและแม่พันธุ์ จำนวน 10 ตัว
3. สร้างโรงเรือนสุกร จำนวน 1 หลัง ขนาด 3.5*19.5 เมตร ดำเนินการเลี้ยงสุกรจำนวน 20 ตัว
4. สร้างศาลาถ่ายทอดเทคโนโลยี จำนวน 1 หลัง ขนาด 3.5*10.5 เมตร ใช้เป็นพื้นที่แสดงและถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรและผู้สนใจทั่วไป
เรียบเรียงโดย:นส.จีรัตดา ภูศรีฤทธิ์ 51010811131g3 FN
อ้างอิง :http://blog.phunkasert.com/
http://www.dld.go.th/trcr_cri/Agriculture/detail.htm
http://www.youtube.com/watch?v=XdE6DkD1AII&feature=related
เศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตน ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชดำรัสแก่พสกนิกรชาวไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 และพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 (ภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540) เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ และการพยายามตีความเพื่อสร้างความชอบธรรมในการพัฒนาโดยปัญญาชนอย่าง ประเวศ วะสี, เสน่ห์ จามริก, อภิชัย พันธเสน และ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ซึ่งเชื่อมโยงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับอุดมการณ์วัฒนธรรมชุมชน ที่ถูกเสนอมาก่อนหน้าโดยองค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนหนึ่งตั้งแต่พุทธทศวรรษ 2520 ก็ได้ช่วยให้อุดมการณ์เศรษฐกิจพอเพียงขยายครอบคลุมส่วนต่าง ๆ ของสังคม ในทางการเมืองของไทยแล้ว เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทสำคัญในการสถาปนาอำนาจนำด้านอุดมการณ์ โดยเฉพาะอุดมการณ์กษัตริย์นิยมในสังคมไทย ในฐานะ "กษัตริย์นักพัฒนา" ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของอุดมการณ์เศรษฐกิจพอเพียง สิ่งเหล่านี้ถูกตอกย้ำและผลิตซ้ำโดยสถาบันทางสังคมต่าง ๆ เช่น สถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการ สื่อมวลชน ส่งผลให้เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทต่อการกำหนดอุดมการณ์การพัฒนาของประเทศ
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจและสาขาอื่น ๆ มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และได้นำความกราบบังคลทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่ทรงแก้ไขแล้วไปเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสำนักงานฯ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ได้รับการเชิดชูสูงสุดจากองค์การสหประชาชาติ ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน มีนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ หลายคนเห็นด้วย และเชิดชู แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ในขณะที่มีการตั้งคำถามถึงการยกย่องนี้ รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรายงานศึกษาและท่าทีของสหประชาชาติ ในบางสื่อ
แนวคิด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พัฒนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อที่จะให้พสกนิกรชาวไทยได้เข้าถึงทางสายกลางของชีวิตและเพื่อคงไว้ซึ่งทฤษฏีของการพัฒนาที่ยั่งยืน ทฤษฎีนี้เป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตซึ่งอยู่ระหว่าง สังคมระดับท้องถิ่นและตลาดระดับสากล จุดเด่นของแนวปรัชญานี้คือ แนวทางที่สมดุล โดยชาติสามารถทันสมัย และก้าวสู่ความเป็นสากลได้ โดยปราศจากการต่อต้านกระแสโลกาภิวัฒน์
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีความสำคัญในช่วงปี พ.ศ. 2540 เมื่อปีที่ประเทศไทยต้องการรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพเพื่อที่จะยืนหยัดในการพึ่งตนเองและพัฒนานโยบายที่สำคัญเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยการสร้างแนวคิดเศรษฐกิจที่พึ่งตนเองได้ ซึ่งคนไทยจะสามารถเลี้ยงชีพโดยอยู่บนพื้นฐานของความพอเพียง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า มันไม่ได้มีความจำเป็นที่เราจะกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NIC) พระองค์ได้ทรงอธิบายว่า ความพอเพียงและการพึ่งตนเอง คือ ทางสายกลางที่จะป้องกันการเปลี่ยนแปลงความไม่มั่นคงของประเทศได้
เศรษฐกิจพอเพียงเชื่อว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมของชมชุนให้ดีขึ้นโดยมีปัจจัย 2 อย่างคือ2252
1. การผลิตจะต้องมีความสัมพันธ์กันระหว่าง ปริมาณผลผลิตและการบริโภค
2. ชุมชนจะต้องมีความสามารถในการจัดการทรัพยากรของตนเอง
ผลที่เกิดขึ้นคือ
• เศรษฐกิจพอเพียงสามารถที่จะคงไว้ซึ่งขนาดของประชากรที่ได้สัดส่วน
• ใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม
• รักษาสมดุลของระบบนิเวศ และปราศจากการแทรกแซงจากปัจจัยภายนอก
ปัจจุบันแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้มีการนำไปใช้เป็นนโยบายของรัฐบาล และปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
“...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขาจะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งใหม่แต่เราอยู่ อย่างพอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบ ช่วยกันรักษาส่วนร่วม ให้อยู่ที่พอสมควร ขอย้ำพอควร พออยู่พอกิน มีความสงบไม่ให้คนอื่นมาแย่งคุณสมบัตินี้ไปจากเราได้...”
— พระราชกระแสรับสั่งในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแก่ผู้เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาแต่พระพุทธศักราช 2517
การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง
พระราชดำรัส "เศรษฐกิจแบบพอเพียง" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศ ให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เพียงการประหยัด แต่เป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงปรับปรุงพระราชทานเป็นที่มาของนิยาม "3 ห่วง 2 เงื่อนไข" ที่ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำมาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านช่องทางต่าง ๆ อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยความ "พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน" บนเงื่อนไข "ความรู้ และ คุณธรรม"
อภิชัย พันธเสน ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเพื่อชนบทและสังคม ได้จัดแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น "ข้อเสนอในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวทางของพุทธธรรมอย่างแท้จริง" ทั้งนี้เนื่องจากในพระราชดำรัสหนึ่ง ได้ให้คำอธิบายถึง เศรษฐกิจพอเพียง ว่า "คือความพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภมาก และต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น"
ระบบเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน และใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียงและประหยัด ตามกำลังของเงินของบุคคลนั้น โดยปราศจากการกู้หนี้ยืมสิน และถ้ามีเงินเหลือ ก็แบ่งเก็บออมไว้บางส่วน ช่วยเหลือผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน (ปัจจัยเสริมในที่นี้เช่น ท่องเที่ยว ความบันเทิง เป็นต้น) สาเหตุที่แนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการดำรงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น ให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัว ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว ความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนันหรือเสี่ยงโชค เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เกิดเป็นวัฏจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถหลุดออกมาได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแนวทางในการดำรงชีวิต
เรียบเรียงโดย:นส.จีรัตดา ภูศรีฤทธิ์
อ้างอิง:http://www.sema.go.th/files/Content/Social/k4/0049/newPackage/__12.html
http://www.youtube.com/watch?v=iMrfbCn82WE&feature=related
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตน ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชดำรัสแก่พสกนิกรชาวไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 และพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 (ภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540) เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ และการพยายามตีความเพื่อสร้างความชอบธรรมในการพัฒนาโดยปัญญาชนอย่าง ประเวศ วะสี, เสน่ห์ จามริก, อภิชัย พันธเสน และ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ซึ่งเชื่อมโยงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับอุดมการณ์วัฒนธรรมชุมชน ที่ถูกเสนอมาก่อนหน้าโดยองค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนหนึ่งตั้งแต่พุทธทศวรรษ 2520 ก็ได้ช่วยให้อุดมการณ์เศรษฐกิจพอเพียงขยายครอบคลุมส่วนต่าง ๆ ของสังคม ในทางการเมืองของไทยแล้ว เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทสำคัญในการสถาปนาอำนาจนำด้านอุดมการณ์ โดยเฉพาะอุดมการณ์กษัตริย์นิยมในสังคมไทย ในฐานะ "กษัตริย์นักพัฒนา" ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของอุดมการณ์เศรษฐกิจพอเพียง สิ่งเหล่านี้ถูกตอกย้ำและผลิตซ้ำโดยสถาบันทางสังคมต่าง ๆ เช่น สถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการ สื่อมวลชน ส่งผลให้เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทต่อการกำหนดอุดมการณ์การพัฒนาของประเทศ
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจและสาขาอื่น ๆ มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และได้นำความกราบบังคลทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่ทรงแก้ไขแล้วไปเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสำนักงานฯ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ได้รับการเชิดชูสูงสุดจากองค์การสหประชาชาติ ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน มีนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ หลายคนเห็นด้วย และเชิดชู แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ในขณะที่มีการตั้งคำถามถึงการยกย่องนี้ รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรายงานศึกษาและท่าทีของสหประชาชาติ ในบางสื่อ
แนวคิด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พัฒนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อที่จะให้พสกนิกรชาวไทยได้เข้าถึงทางสายกลางของชีวิตและเพื่อคงไว้ซึ่งทฤษฏีของการพัฒนาที่ยั่งยืน ทฤษฎีนี้เป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตซึ่งอยู่ระหว่าง สังคมระดับท้องถิ่นและตลาดระดับสากล จุดเด่นของแนวปรัชญานี้คือ แนวทางที่สมดุล โดยชาติสามารถทันสมัย และก้าวสู่ความเป็นสากลได้ โดยปราศจากการต่อต้านกระแสโลกาภิวัฒน์
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีความสำคัญในช่วงปี พ.ศ. 2540 เมื่อปีที่ประเทศไทยต้องการรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพเพื่อที่จะยืนหยัดในการพึ่งตนเองและพัฒนานโยบายที่สำคัญเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยการสร้างแนวคิดเศรษฐกิจที่พึ่งตนเองได้ ซึ่งคนไทยจะสามารถเลี้ยงชีพโดยอยู่บนพื้นฐานของความพอเพียง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า มันไม่ได้มีความจำเป็นที่เราจะกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NIC) พระองค์ได้ทรงอธิบายว่า ความพอเพียงและการพึ่งตนเอง คือ ทางสายกลางที่จะป้องกันการเปลี่ยนแปลงความไม่มั่นคงของประเทศได้
เศรษฐกิจพอเพียงเชื่อว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมของชมชุนให้ดีขึ้นโดยมีปัจจัย 2 อย่างคือ2252
1. การผลิตจะต้องมีความสัมพันธ์กันระหว่าง ปริมาณผลผลิตและการบริโภค
2. ชุมชนจะต้องมีความสามารถในการจัดการทรัพยากรของตนเอง
ผลที่เกิดขึ้นคือ
• เศรษฐกิจพอเพียงสามารถที่จะคงไว้ซึ่งขนาดของประชากรที่ได้สัดส่วน
• ใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม
• รักษาสมดุลของระบบนิเวศ และปราศจากการแทรกแซงจากปัจจัยภายนอก
ปัจจุบันแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้มีการนำไปใช้เป็นนโยบายของรัฐบาล และปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
“...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขาจะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งใหม่แต่เราอยู่ อย่างพอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบ ช่วยกันรักษาส่วนร่วม ให้อยู่ที่พอสมควร ขอย้ำพอควร พออยู่พอกิน มีความสงบไม่ให้คนอื่นมาแย่งคุณสมบัตินี้ไปจากเราได้...”
— พระราชกระแสรับสั่งในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแก่ผู้เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาแต่พระพุทธศักราช 2517
การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง
พระราชดำรัส "เศรษฐกิจแบบพอเพียง" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศ ให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เพียงการประหยัด แต่เป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงปรับปรุงพระราชทานเป็นที่มาของนิยาม "3 ห่วง 2 เงื่อนไข" ที่ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำมาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านช่องทางต่าง ๆ อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยความ "พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน" บนเงื่อนไข "ความรู้ และ คุณธรรม"
อภิชัย พันธเสน ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเพื่อชนบทและสังคม ได้จัดแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น "ข้อเสนอในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวทางของพุทธธรรมอย่างแท้จริง" ทั้งนี้เนื่องจากในพระราชดำรัสหนึ่ง ได้ให้คำอธิบายถึง เศรษฐกิจพอเพียง ว่า "คือความพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภมาก และต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น"
ระบบเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน และใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียงและประหยัด ตามกำลังของเงินของบุคคลนั้น โดยปราศจากการกู้หนี้ยืมสิน และถ้ามีเงินเหลือ ก็แบ่งเก็บออมไว้บางส่วน ช่วยเหลือผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน (ปัจจัยเสริมในที่นี้เช่น ท่องเที่ยว ความบันเทิง เป็นต้น) สาเหตุที่แนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการดำรงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น ให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัว ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว ความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนันหรือเสี่ยงโชค เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เกิดเป็นวัฏจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถหลุดออกมาได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแนวทางในการดำรงชีวิต
เรียบเรียงโดย:นส.จีรัตดา ภูศรีฤทธิ์
อ้างอิง:http://www.sema.go.th/files/Content/Social/k4/0049/newPackage/__12.html
http://www.youtube.com/watch?v=iMrfbCn82WE&feature=related
การจัดสวน

การจัดสวน หมายถึง การจัดสภาพ หรือตกแต่งสถานที่ ให้เหมาะสมสวยงาม ทำให้สภาพแวดล้อม บรรยากาศน่าอยู่ และเอื้อประโยชน์ต่อกิจกรรมต่าง ๆ
ความสำคัญและประโยชน์ในการจัดสวน
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ การออกแบบจัดสวน
คือการจะทำให้สวนมีความสวยงาม จะต้องมีความรู้พื้นฐาน ค่อนข้างจะสูงมาก ในเรื่องของการออกแบบ นอกจากนี้ สวนสวย ไม่ใช่ว่า สวนจะอยู่ได้นาน จะต้องดูว่าสวนสวย จะต้องมีการดูแลรักษาที่ดี เพื่อให้เขามีชีวิต ที่อยู่ได้ยาวนาน ด้วย หลักการออกแบบ จึงมีความ จำเป็น ต่อการจัดสวนมาก เพราะถือว่าการออกแบบ การเขียนแบบ เป็นจุดเริ่มต้น ของงาน การออกแบบ ที่ดีต้องอาศัยความรู้อยู่ 2 อย่างด้วยกัน
เรียบเรียงโดย: นส.จีรัตดา ภูศรีฤทธิ์ 51010811131g3 FN
อ้างอิง:http://www.novabizz.com/CDC/Garden.htm
http://www.youtube.com/watch?v=gZQh28rZua8
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553
เพลงประกอบภาพยนต์สาระแนสิบล้อ
เพลงประกอบภาพยนต์ "สาระแนสิบล้อ"

เนื้อเพลง
เพลงเด้ง – เสนาหอย เพลงประกอบภาพยนตร์ สาระแนสิบล้อ
* เด้ง ดึ๋ง เด้ง ดึ่ง เด้ง ดึ๋ง เดี๋ยวด็เด้ง เดี๋ยวก็เด้ง ไปไหม
ไปห้าวเป้งกันกับผู้ชายชื่อเช พร้อมไม๊เป็นลูกผู้ชายคล้ายๆเช เชยังไม่ตาย
ให้เราได้ฮาเฮ น้าเช เดี๋ยวด็เด้ง เดี๋ยวก็เด้ง เดี๋ยวก็เด้ง
ขับรถ สิบล้อ ไม่ท้อ ใครว่ายังไง ยังไงก็ไม่สนใจ ไม่ว่าใคร มองหน้าทำไม
ถึงเราจะฝ่าไฟแดงก็ไม่จะสนใจ จะว่ายังไง อุ้ยเอาแล้วไง
ตำรวจโบกมือให้เราเข้าไปข้างใน ในป้อมไง ตำรวจเลยบอกถ้าผมไม่จับคุณ
ผมก็ถูก เด้ง เด้ง ดึ๋ง เด้ง ดึ่ง เด้ง ดึ๋ง เดี๋ยวด็เด้ง เดี๋ยวก็เด้ง เดี๋ยวก็เด้ง
ซ้ำ *
อู๊ด แอ๊ด เด็กรถ สิบล้อ จะไปอยู่กับพี่เชในทุก ทุกที่ไป ไม่ว่าที่ใด
จะใกล้หรือไกล จะไปกับพี่เชในทุก ทุกที่ไป ไม่เข้าใจ ไม่รู้ทำไม
พี่เชถึงขับรถเด้งไปเด้งมาทำไม อู๊ดแอ๊ดหมั่นไส้
กินเหล้าเข้าไปหรือข้าวมันไก่ แค่อยากจะบอกว่า
อย่าขับรถให้มัน เด้ง ดึ๋ง เด้ง ดึ่ง เด้ง ดึ๋ง (เป็นหมันแล้ว เป็นหมันแล้วอ่า)
เด้ง ดึ๋ง เด้ง ดึ่ง เด้ง ดึ๋ง (เป็นหมันแล้ว เป็นหมันแล้ว เป็นหมันแล้วอ่า)
เด้ง ดึ๋ง เด้ง ดึ่ง เด้ง ดึ๋ง (เป็นหมันแล้ว เป็นหมันแล้วอ่า)
(แร๊พ) เหยียบคันเร่งคิดถึงเมีย เข้าเกียร์คิดถึงเธอ ดะ ดะ เด้ง ดะ ดะ เด้ง
รักแฟนห่วงชู้ แต่เอ็นดูกิ๊ก ดะ ดะ เด้ง ดะ ดะ เด้ง
รักสิบล้อก็ต้องรอสิบโมง ดะ ดะ เด้ง ดะ ดะ เด้ง
เห็นงานเป็นล้ม เห็นนมสู้ตาย ดะ ดะ เด้ง ดะ ดะ เด้ง
เหงื่อทุกหยาดหยดเพื่ออนาคตน้องเมีย ดะ ดะ เด้ง ดะ ดะ เด้ง
ถึงผมขับสิบล้อแต่ก็ได้หมอเป็นเมีย ดะ ดะ เด้ง ดะ ดะ เด้ง
ขับรถเหมือนเต่าคลาน น้าเชแค่หัวล้าน มันไปหนักหัวใคร
เด้ง ดึ๋ง เด้ง ดึ่ง เด้ง ดึ๋ง เดี๋ยวก็เด้ง เดี๋ยวก็เด้ง เดี๋ยวก็เด้ง
ซ้ำ *

เรียบเรียงโดย: นส.จีรัตดา ภูศรีฤทธิ์ 51010811131g3 (FN)
อ้างอิง:http://www.thai-songs.com
http://www.youtube.com/watch?v=1SW6hCSdKlI&feature=related

เนื้อเพลง
เพลงเด้ง – เสนาหอย เพลงประกอบภาพยนตร์ สาระแนสิบล้อ
* เด้ง ดึ๋ง เด้ง ดึ่ง เด้ง ดึ๋ง เดี๋ยวด็เด้ง เดี๋ยวก็เด้ง ไปไหม
ไปห้าวเป้งกันกับผู้ชายชื่อเช พร้อมไม๊เป็นลูกผู้ชายคล้ายๆเช เชยังไม่ตาย
ให้เราได้ฮาเฮ น้าเช เดี๋ยวด็เด้ง เดี๋ยวก็เด้ง เดี๋ยวก็เด้ง
ขับรถ สิบล้อ ไม่ท้อ ใครว่ายังไง ยังไงก็ไม่สนใจ ไม่ว่าใคร มองหน้าทำไม
ถึงเราจะฝ่าไฟแดงก็ไม่จะสนใจ จะว่ายังไง อุ้ยเอาแล้วไง
ตำรวจโบกมือให้เราเข้าไปข้างใน ในป้อมไง ตำรวจเลยบอกถ้าผมไม่จับคุณ
ผมก็ถูก เด้ง เด้ง ดึ๋ง เด้ง ดึ่ง เด้ง ดึ๋ง เดี๋ยวด็เด้ง เดี๋ยวก็เด้ง เดี๋ยวก็เด้ง
ซ้ำ *
อู๊ด แอ๊ด เด็กรถ สิบล้อ จะไปอยู่กับพี่เชในทุก ทุกที่ไป ไม่ว่าที่ใด
จะใกล้หรือไกล จะไปกับพี่เชในทุก ทุกที่ไป ไม่เข้าใจ ไม่รู้ทำไม
พี่เชถึงขับรถเด้งไปเด้งมาทำไม อู๊ดแอ๊ดหมั่นไส้
กินเหล้าเข้าไปหรือข้าวมันไก่ แค่อยากจะบอกว่า
อย่าขับรถให้มัน เด้ง ดึ๋ง เด้ง ดึ่ง เด้ง ดึ๋ง (เป็นหมันแล้ว เป็นหมันแล้วอ่า)
เด้ง ดึ๋ง เด้ง ดึ่ง เด้ง ดึ๋ง (เป็นหมันแล้ว เป็นหมันแล้ว เป็นหมันแล้วอ่า)
เด้ง ดึ๋ง เด้ง ดึ่ง เด้ง ดึ๋ง (เป็นหมันแล้ว เป็นหมันแล้วอ่า)
(แร๊พ) เหยียบคันเร่งคิดถึงเมีย เข้าเกียร์คิดถึงเธอ ดะ ดะ เด้ง ดะ ดะ เด้ง
รักแฟนห่วงชู้ แต่เอ็นดูกิ๊ก ดะ ดะ เด้ง ดะ ดะ เด้ง
รักสิบล้อก็ต้องรอสิบโมง ดะ ดะ เด้ง ดะ ดะ เด้ง
เห็นงานเป็นล้ม เห็นนมสู้ตาย ดะ ดะ เด้ง ดะ ดะ เด้ง
เหงื่อทุกหยาดหยดเพื่ออนาคตน้องเมีย ดะ ดะ เด้ง ดะ ดะ เด้ง
ถึงผมขับสิบล้อแต่ก็ได้หมอเป็นเมีย ดะ ดะ เด้ง ดะ ดะ เด้ง
ขับรถเหมือนเต่าคลาน น้าเชแค่หัวล้าน มันไปหนักหัวใคร
เด้ง ดึ๋ง เด้ง ดึ่ง เด้ง ดึ๋ง เดี๋ยวก็เด้ง เดี๋ยวก็เด้ง เดี๋ยวก็เด้ง
ซ้ำ *

เรียบเรียงโดย: นส.จีรัตดา ภูศรีฤทธิ์ 51010811131g3 (FN)
อ้างอิง:http://www.thai-songs.com
http://www.youtube.com/watch?v=1SW6hCSdKlI&feature=related
วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553
POM POM(หรือ pom pon) - การเต้นเชียร์
POM POM(หรือ pom pon) - การเต้นเชียร์

รายละเอียด
pom-pom คือ "พู่"ที่เหล่าเชียร์ลีดเดอร์ใช้ประกอบลีลา พู่ที่ว่านี้ทำมาจากเนื้อผ้า กระดาษ
พลาสติก ตามโอกาสและความเหมาะสม
-คำนี้เป็นที่รู้จักคุ้นเคยในต่างประเทศ ตามสนามแข่งขันกีฬาระดับต่างๆทั้งมหาวิทยาลัยและอาชีพ
-แต่ในเมืองไทยมีคนใช้คำนี้กับ CheeLeaderในสนามกีฬา และกับสาวนักเต้นที่เรียกว่า Pom Pom Girl
เดิมทีใช้คำนี้ว่า pom-pon ซึ่งมีการเปล่งเสียงคล้ายกัน แต่คำว่า pom-pom เป็นที่นิยมมากกว่า
จึงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนาม pom-pom โดยเป็นคำยอดฮิตในภาพยนตร์ วงการบันเทิง
- แต่บรรดาเชียร์ลีดเดอร์ โค้ช
ฝ่ายอุปกรณ์การเชียร์และฝ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับวงการกีฬายังคงเรียกติดปากว่า pompon
เรื่องผู้นำการเชียร์ ในเมืองไทยเห็นผู้นำในการเชียร์อยู่ ๒ ประเภท
๑.Cheer Leader ที่เรียกว่า "ลีดมือ" คนเชียร์จะแต่งตัวสวยๆ ใช้มือเป็นหลักในการนำกองเชียร์
เช่น ลีดธรรมศาสตร์ - จุฬาในการแข่งฟุตบอลประเพณี
๒.Cheer Leader ซึ่งตรงกับ “POM POM” เป็นผู้นำกองเชียร์โดยใช้พู่ประกอบการเต้น
-จากการค้นหาข้อมูลของถามตอบรอบโลก ไม่พบว่าใครเป็นต้นคิดการเชียร์ในลักษณะของ pom-pom หรือ pompon
แต่มีบันทึกของการเกิดเชียร์ลีดเดอร์ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นต้นกำเนิดของ pom-pom เช่นกัน
-สำหรับ Cheer Leader มีขึ้นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัย Princton ในสหรัฐฯ ปี ค.ศ.1880
จากกลุ่มคนที่ตะโกนร้องเพลงให้กำลังใจทีมฟุตบอลของมหาวิทยาลัย จากนั้นก็มีการพัฒนาเรื่อยมา จนกระทั่งปี
ค.ศ.1898 Johnny Kampbellนักศึกษามหาวิทยาลัยมินนิโซตา ลงมายืนหน้าฝูงชนและนำการร้องเพลงเป็นหนแรก
-Johnny Kampbell จึงเป็นเชียร์ลีดเดอร์คนแรก ขณะที่มหาวิทยาลัยมินนิโซตา ก่อตั้งกลุ่มผู้นำเชียร์ขึ้น
แต่ที่น่าทึ่งคือกลุ่มนำเชียร์แรกของมหาวิทยาลัยมินนิโซตา ทั้ง 4 คนเป็นชายล้วน
ทั้งที่หลายคนมองภาพลักษณ์ของเชียร์ลีดเดอร์ว่าน่าจะเหมาะกับผู้หญิงมากกว่า
ลองไปชมกันเลยดีกว่า
เรียบเรียงโดย : นส.จีรัตดา ภูศรีฤทธิ์ 51010811131g3 (FN)
อ้างอิง:http://images.google.co.th/images
http://www.youtube.com/watch?v=oNZJBy6nzKQ&feature=related
การละเล่นพื้นบ้าน(งูกินหาง)
งูกินหาง
งูกินหางเป็นการละเล่นพื้นเมืองเก่า เล่นกันทุกภาคของประเทศ ทั้งภาคเหนือ ภาคะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ พบว่ามีการเล่นงูกินหางกันแล้วในงานตรุษสงกรานต์ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2475 คำว่า “งู” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “a snake” คำว่า “กิน” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “to eat” และคำว่า “หาง” ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “a tail” การเล่นงูกินหางเป็นการเล่นเลียนแบบชีวิตสัตว์ คือ เลียนแบบลักษณะท่าทางของงูที่มีลำตัวยาวเลื้อยคดไปคดมา นิยมเล่นในงานเทศกาล งานประจำปี และงานรื่นเริงต่างๆ ในสมัยก่อน
ผู้เล่นมีจำนวน 8-10 คน แบ่งผู้เล่นเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายที่ 1 จะต้องเป็น “พ่องู” 1 คน ฝ่ายที่ 2 มี “แม่งู” 1 คน ที่เหลือเป็น “ลูกงู” ซึ่งผู้เล่นเป็นลูกงูจะต้องเกาะเอวผู้เล่นเป็นแม่งู จากนั้น พ่องูเริ่มถามว่า “แม่งูเอ๋ย” แม่งูและลูกงูก็ร้องตอบว่า “เอ๋ย” พอช่วงท้ายพ่องูถามว่า “กินหัว กินหาง” แม่งูตอบว่า “กินกลางตลอดตัว” ผู้เป็นพ่องูจะไล่จับลูกงูจากปลายแถว ฝ่ายแม่งูจะต้องกางมือเพื่อป้องกันลูก หากลูกงูตัวใดถูกพ่องูดึงจนหลุดออกจากแถวไป ก็จะต้องออกจากการเล่น ผู้เล่นที่เหลือก็เริ่มเล่นกันอีกจนกว่าลูกงูจะถูกจับจนหมด
[แก้ไข] เพลงประกอบการเล่น ร้องก่อนพ่องูจะไล่จับผู้อยู่หางแถว
พ่องู "แม่งูเอย กินน้ำบ่อไหน"
แม่งูและลูก "กินน้ำบ่อโศกโยกไปโยกมา"
พ่องู "แม่งูเอย กินน้ำบ่อไหน"
แม่งูและลูก "กินน้ำบ่อทรายย้ายไปย้ายมา"
พ่องู "แม่งูเอย กินน้ำบ่อไหน"
แม่งูและลูก "กินน้ำบ่อหิน บินไปบินมา"
พ่องู "กินหัวกินหาง กินกลางตลอดตัว"
อุปกรณ์การเล่น
หางงูที่ทำจากผ้าหรือกระดาษขมวดเป็นเกลียวยาวเท่าๆ กัน 2 หาง สนามที่และสนามเล่น สถานที่เป็นพื้นที่โล่งราบเรียบ ขนาดประมาณ 15 x 15 เมตร สนามเล่นทำเส้นเป็นวงกลมรัศมี 6 เมตร
วิธีเล่น
1. กำหนดผู้เล่นเป็น 2 ทีมๆละ 6 คน แต่ละฝ่ายยืนเป็นแถวตอนใช้มือจับเอวต่อกันไว้ ทั้งสองทีมยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่คนละด้านของนอกวงกลม คนสุดท้ายของแต่ละทีมให้เหน็บหางไว้ด้านหลัง โดยให้หางโผล่ออกมาข้างนอกอย่างน้อย 30 เซนติเมตร
2. เมื่อได้สัญญาณเริ่มเล่น ให้หัวแถว (หัวงู) แต่ละฝ่านนำขบวนเดินเคลื่อนเข้าหากัน คนที่อยู่หัวแถวจะต้องพยายามหาทางเข้าแย่งหางของฝ่ายตรงข้าม ส่วนคนที่อยู่หางแถวต้องพยายามหลบหลีกไม่ให้ถูกแย่งหางออกจากตัวไปได้
3. ทีมใดสามารถคว้าหางของฝ่ายตรงข้ามมาถือไว้ในมือได้ จะเป็นฝ่ายชนะ
กติกา
1. ขณะเคลื่อนที่ไล่คว้าหางกันนั้น แต่ละทีมต้องระวังไม่ให้มือที่จับกันหลุดจากขบวน
2. อนุญาตให้คนหัวแถวของแต่ละฝ่าย ใช้การแบมือเพื่อผลักดัน ปัด ป้องการแย่งของฝ่ายตรงข้ามได้ แต่จะต้องไม่กำมือ หรือชก ต่อย ทุบ ตี ทิ่ม แทง ต้องไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ ส่วนผู้เล่นคนอื่นๆ ในขบวนจะใช้มือผลักดัน ปัดป้องไม่ได้โดยเด็ดขาด
3. ห้ามไม่ให้ผู้เล่นของแต่ละทีมใช้มือจับหางไว้ หรือใช้ชายเสื้อหรือสิ่งอื่นมาปกคลุมหางของทีมตนไว้
4. ทีมใดมือที่จับต่อกันเป็นขบวนนั้นหลุดออกจากขบวนทั้งสองมือ หรือหางของทีมตนหลุดลงสู่พื้น หรือฝ่าฝืนกติกา จะถูกปรับเป็นฝ่ายแพ้
ตัวอย่างการละเล่น
________________________________________
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
• หนังสือ การศึกษาบทบาทการละเล่นพื้นบ้านของเด็กจังหวัดขอนแก่น โดย : สุนีย์ เลี่ยวเพ็ญวงษ์, โฆสิต แจ้งสกุล ภาควิชามนุษยศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รวบรวมโดย : สถาบันเด็ก มูลนิธิเด็ก
เรียบเรียงโดย: นส.จีรัตดา ภูศรีฤทธิ์ 51010811131g3 (FN)
อ้างอิง:http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/
http://www.youtube.com/watch?v=SFIn2heYBmc&feature=related

งูกินหางเป็นการละเล่นพื้นเมืองเก่า เล่นกันทุกภาคของประเทศ ทั้งภาคเหนือ ภาคะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ พบว่ามีการเล่นงูกินหางกันแล้วในงานตรุษสงกรานต์ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2475 คำว่า “งู” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “a snake” คำว่า “กิน” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “to eat” และคำว่า “หาง” ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “a tail” การเล่นงูกินหางเป็นการเล่นเลียนแบบชีวิตสัตว์ คือ เลียนแบบลักษณะท่าทางของงูที่มีลำตัวยาวเลื้อยคดไปคดมา นิยมเล่นในงานเทศกาล งานประจำปี และงานรื่นเริงต่างๆ ในสมัยก่อน
ผู้เล่นมีจำนวน 8-10 คน แบ่งผู้เล่นเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายที่ 1 จะต้องเป็น “พ่องู” 1 คน ฝ่ายที่ 2 มี “แม่งู” 1 คน ที่เหลือเป็น “ลูกงู” ซึ่งผู้เล่นเป็นลูกงูจะต้องเกาะเอวผู้เล่นเป็นแม่งู จากนั้น พ่องูเริ่มถามว่า “แม่งูเอ๋ย” แม่งูและลูกงูก็ร้องตอบว่า “เอ๋ย” พอช่วงท้ายพ่องูถามว่า “กินหัว กินหาง” แม่งูตอบว่า “กินกลางตลอดตัว” ผู้เป็นพ่องูจะไล่จับลูกงูจากปลายแถว ฝ่ายแม่งูจะต้องกางมือเพื่อป้องกันลูก หากลูกงูตัวใดถูกพ่องูดึงจนหลุดออกจากแถวไป ก็จะต้องออกจากการเล่น ผู้เล่นที่เหลือก็เริ่มเล่นกันอีกจนกว่าลูกงูจะถูกจับจนหมด
[แก้ไข] เพลงประกอบการเล่น ร้องก่อนพ่องูจะไล่จับผู้อยู่หางแถว
พ่องู "แม่งูเอย กินน้ำบ่อไหน"
แม่งูและลูก "กินน้ำบ่อโศกโยกไปโยกมา"
พ่องู "แม่งูเอย กินน้ำบ่อไหน"
แม่งูและลูก "กินน้ำบ่อทรายย้ายไปย้ายมา"
พ่องู "แม่งูเอย กินน้ำบ่อไหน"
แม่งูและลูก "กินน้ำบ่อหิน บินไปบินมา"
พ่องู "กินหัวกินหาง กินกลางตลอดตัว"
อุปกรณ์การเล่น
หางงูที่ทำจากผ้าหรือกระดาษขมวดเป็นเกลียวยาวเท่าๆ กัน 2 หาง สนามที่และสนามเล่น สถานที่เป็นพื้นที่โล่งราบเรียบ ขนาดประมาณ 15 x 15 เมตร สนามเล่นทำเส้นเป็นวงกลมรัศมี 6 เมตร
วิธีเล่น
1. กำหนดผู้เล่นเป็น 2 ทีมๆละ 6 คน แต่ละฝ่ายยืนเป็นแถวตอนใช้มือจับเอวต่อกันไว้ ทั้งสองทีมยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่คนละด้านของนอกวงกลม คนสุดท้ายของแต่ละทีมให้เหน็บหางไว้ด้านหลัง โดยให้หางโผล่ออกมาข้างนอกอย่างน้อย 30 เซนติเมตร
2. เมื่อได้สัญญาณเริ่มเล่น ให้หัวแถว (หัวงู) แต่ละฝ่านนำขบวนเดินเคลื่อนเข้าหากัน คนที่อยู่หัวแถวจะต้องพยายามหาทางเข้าแย่งหางของฝ่ายตรงข้าม ส่วนคนที่อยู่หางแถวต้องพยายามหลบหลีกไม่ให้ถูกแย่งหางออกจากตัวไปได้
3. ทีมใดสามารถคว้าหางของฝ่ายตรงข้ามมาถือไว้ในมือได้ จะเป็นฝ่ายชนะ
กติกา
1. ขณะเคลื่อนที่ไล่คว้าหางกันนั้น แต่ละทีมต้องระวังไม่ให้มือที่จับกันหลุดจากขบวน
2. อนุญาตให้คนหัวแถวของแต่ละฝ่าย ใช้การแบมือเพื่อผลักดัน ปัด ป้องการแย่งของฝ่ายตรงข้ามได้ แต่จะต้องไม่กำมือ หรือชก ต่อย ทุบ ตี ทิ่ม แทง ต้องไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ ส่วนผู้เล่นคนอื่นๆ ในขบวนจะใช้มือผลักดัน ปัดป้องไม่ได้โดยเด็ดขาด
3. ห้ามไม่ให้ผู้เล่นของแต่ละทีมใช้มือจับหางไว้ หรือใช้ชายเสื้อหรือสิ่งอื่นมาปกคลุมหางของทีมตนไว้
4. ทีมใดมือที่จับต่อกันเป็นขบวนนั้นหลุดออกจากขบวนทั้งสองมือ หรือหางของทีมตนหลุดลงสู่พื้น หรือฝ่าฝืนกติกา จะถูกปรับเป็นฝ่ายแพ้
ตัวอย่างการละเล่น
________________________________________
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
• หนังสือ การศึกษาบทบาทการละเล่นพื้นบ้านของเด็กจังหวัดขอนแก่น โดย : สุนีย์ เลี่ยวเพ็ญวงษ์, โฆสิต แจ้งสกุล ภาควิชามนุษยศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รวบรวมโดย : สถาบันเด็ก มูลนิธิเด็ก
เรียบเรียงโดย: นส.จีรัตดา ภูศรีฤทธิ์ 51010811131g3 (FN)
อ้างอิง:http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/
http://www.youtube.com/watch?v=SFIn2heYBmc&feature=related
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553
สารต่อต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ Antioxidant agents

สารต่อต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ
ANTI OXIDANT AGENTS
เราได้ยิน ได้เห็น คำว่า “สารต่อต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant)” อยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียน ในการสัมมนา หรือโฆษณาจากวิทยุ โทรทัศน์ สารต่อต้านอนุมูลอิสระถูกเติมลงในอาหารเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ และยังช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คุณภาพของอาหาร
สารอนุมูลอิสระ คือ สารที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ (free radical) อนุมูลอิสระส่วนใหญ่เป็นสารประกอบออกซิเจนหรือสารชนิดอื่นๆ ที่ไม่เสถียร เกิดขึ้นเมื่อร่างกายเผชิญกับมลภาวะต่างๆ ทั้งจากสิ่งแวดล้อม อาหาร หรือแม้แต่ความเครียด เมื่ออนุมูลอิสระถูกสร้างขึ้นในร่างกาย จะเข้าไปเกาะที่เซลล์ต่างๆ และพยามเปลี่ยนองค์ประกอบของเซลล์ หรืออนุมูลอิสระบางชนิดยังสามารถเข้าไปทำลายดีเอ็นเอ ส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งและโรคต่างๆ ตามมา ดังนั้น การมีสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายมีความสำคัญมาก เพื่อที่จะได้ไปจับกับอนุมูลอิสระเพื่อป้องกันผลร้ายต่างๆ ตามมา สารต้านอนุมูลอิสระมีทั้งชนิดสังเคราะห์และจากธรรมชาติ แน่นอนว่าของที่มาจากธรรมชาติย่อมดีที่สุด จากข้อมูลของบริษัท Frust and Sullivan (San Antonio, Texas) ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายสารต้านอนุมูลอิสระ เปิดเผยว่ายอดจำหน่ายของสารต้านอนุมูลอิสระชนิดจากธรรมชาติสูงกว่าชนิด สังเคราะห์มากในช่วงห้าปีหลัง
ตัวอย่างสารต้านอนุมูลอิสระจากสารสกัดธรรมชาติ

1) วิตามินอีจากธรรมชาติ
วิตามินอีจากธรรมชาติอยู่ในรูป d-tocopherol หรือ d-alpha-tocopherol ส่วนวิตามินอีสังเคราะห์จะอยู่ในรูป dl-tocopherol หรือ dl-tocopherol จากงานวิจัย พบว่า วิตามินอีในรูป d-form ซึ่งได้จากธรรมชาติมีผลดีต่อร่างกายมนุษย์อย่างน้อยสองเท่าเมื่อเทียบกับ วิตามินอีในรูป dl-form ซึ่งได้จากการสัเคราะห์ วิตามินอีมีความสามารถในการจับอนุมูลออกซิจนอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันเซลล์ถูกทำลาย และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะ ในผู้สูงอายุ สำหรับปริมาณวิตามินอีธรรมชาติที่แนะนำให้บริโภค สำหรับผู้ใหญ่ คือ 400-800 IU/วัน
2) Green Tea Extract

สำหรับในประเทศแถบเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน หรือแม้แต่ไทย นิยมดื่มชากันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่สำหรับประเทศอเมริกาและยุโรปเพิ่งหันมาให้ความสนใจการดื่มชาเมื่อไม่นาน มานี้เนื่องจากทราบถึงสรรพคุณต่างๆ ต่อร่างกาย ชาเขียวเป็นชาที่พบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระมากที่สุด โดยสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในชาเขียว มีชื่อว่า ECCG (Epigallocatechin Gallate) ซึ่งเป็นสารประกอบพวกฟลาโวนอยด์ โดยได้พบว่า สารตัวนี้ช่วยป้องกันการทำลายของเซลล์และเนื้อเยื่อจากอนุมูลอิสระ ซึ่งมีผลในการป้องกันโรคหัวใจ โรคฟันและเหงือก รวมถึงช่วยควบคุม glucose metabolism ให้เป็นไปตามปกติ ตวามสามารถในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระของ ECCG สูงกว่าวิตามินซีและอีถึง 25-1000 เท่า และนี่เป็นคำตอบว่าทำไมชาวญี่ปุ่นที่ดื่มชาเขียวกันมานาน ถึงมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน
3) Rosemary Extract

คนไทยอาจจะไม่คุ้นกับโรสแมรีกันซักเท่าไหร่ โรสแมรีเป็นสมุนไพรที่มักใช้เพื่อให้กลิ่นและรสชาติในอาหารอเมริกันและยุโรป โรสแมรี (Rosmarinum officinalis L.) มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น rosmarinic acid, carnosol และ carnosic acid ซึ่งสารเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการชะลอและป้องกันเซลล์จากการถูกทำลาย จากอนุมูลอิสระ ในอุตสาหกรรมอาหารมีการใช้สารสกัดโรสแมรีเป็นเวลานานแล้ว เพื่อช่วยยืดอายุการเก็บรักษา ลดการเกิดการหืนในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ เมื่อเร็วๆ นี้ European Safety Authority (EFSA) ได้ยอมรับให้ผู้ผลิตอาหารสามารถใช้สารสกัดโรสแมรีเพื่อเป็นสารต้านอนุมูล อิสระในอาหารชนิดต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย ข้อดีของสารสกัดโรสแมรี คือ สามารถทนความร้อนได้สูงถึง 240 ºซ จึงเหมาะสำหรับใช้เติมในน้ำมันทอดและขนมขบเคี้ยว
4) Pomegranate Extract

การใช้สารสกัดจากทับทิมยังไม่ค่อยแพร่หลายนัก ทับทิมเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลที่สำคัญ คือ ellagic acid ซึ่งมีประสิทธิภาพในการจับอนุมูลอิสระสูงมาก จากงานวิจัย พบว่า สารสกัดทับทิมช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ โดยลดและป้องกันเซลล์ถูกทำลายจาก LDL oxidation, macrophage oxidative และ foam cell formation นอกจากนี้ สารสกัดทับทิมช่วยลดความดันโลหิตโดยยับยั้งการทำงานของ serum angiotension converting enzyme (ACE) ทำให้ตอนนี้นักวิจัยหันมาให้ความสนใจสารสกัดทับทิมเพิ่มขึ้นมาก
5) Grape Seed Extract

สารสกัดองุ่นประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด สารที่สำคัญ คือ oligomeric procyanidins (OPCs) และ resveterol ซึ่งพบว่ามีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีและอีถึงห้าสิบ เท่า ดังนั้น สารสกัดองุ่นมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย รักษาอาการต่างๆ ที่มีต้นเหตุมาจากอนุมูลอิสระ เช่น อาการปวด, ลดอาการอักเสบ, หลอดเลือดเปราะ, chronic venous insufficiency, varicose veins, macular degeneration และ diabetic retinopathy นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่า OPCs ช่วยทำให้ผิวใส ระบบการหมุนเวียนเลือดเป็นปกติ ช่วยป้องกันคอลลาเจนถูกทำลายซึ่งเป็นสาเหตุของการเหี่ยวย่นเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้น สารสกัดองุ่นจึงถูกนำมาใช้ในเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว
6) lycopene

ไลโคปีนเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบมากในมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ นักวิจัยพบว่าไลโคปีนซึ่งมีสมบัติการต้านอนุมูลอิสระสูงมากสามารถลดอัตรา เสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ งานวิจัยล่าลุด นักวิจัยได้ทดลองในกลุ่มผู้ชายจำนวน 50,000 คน โดยให้รับประทานมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศมากกว่า 10 ครั้งต่อหนึ่งสัปดาห์ ผลการทดลองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจอนว่าสามารถลดอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ต่อมลูกหมากได้ถึง 34%
7)สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ได้ดีอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งนอกจากประโยชน์ในการแก้ปัญหาเรื่องฝ้าด้วยการควบคุมการทำงานของกระบวนการสร้างเม็ดสีในร่างกายให้อยู่ในสภาวะที่สมดุล ไม่ผลิตเม็ดสีออกมาผิดปกติจนเป็นฝ้า, กระ แล้ว ยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณและสุขภาพร่างกายโดยรวมอีกด้วย
เกร็ดน่ารู้ที่นำมาเล่าสู่กันฟัง
การหมักเนื้อด้วยเครื่องเทศก่อนนำไปทอด ปิ้ง หรือย่างช่วยลดสารก่อมะเร็ง

เนื้อปิ้ง หมูปิ้ง เนื้อน้ำตก สเต็ก ไก่ย่าง ......คงเป็นเมนูโปรดของใครหลายคน แต่ทราบหรือไม่ว่า ในอาหารเหล่านี้อาจมีสารก่อมะเร็งที่มีชื่อว่า Heterocyclic Amines (HCAs) ซึ่งเกิดขึ้นได้จากปฏิกิริยา Maillard reaction โดยมีสารตั้งต้นที่สำคัญ คือ น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว, ครีเอทีน หรือ ครีเอทินีน ซึ่งเป็นสารที่พบในกรดอะมิโนและกล้ามเนื้อของสัตว์
สถาบัน IARC (Intenational Agency for Research on Cancer) ได้จัดลำดับสาร HCAs ให้อยู่ในประเภทสารกลุ่ม 2A ซึ่งหมายถึงว่า สาร HCAs นี้มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าก่อให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง แต่ยังมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสารนี้สามารถให้ก่อมะเร็งในมนุษย์ได้
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานต่างๆ ได้ออกมากระจายข่าวสารเพื่อให้ผู้บริโภคตระหนักถึงภัยที่อาจจะเกิดขึ้นจาก สารนี้ โดยแนะนำว่าควรจะหลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ส่วนที่ไหม้ และไม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไปในทุกๆ มื้อ ควรจะรับประทานทั้งผัก ผลไม้ ประกอบกันในอาหารหนึ่งมื้อ จากการค้นพบสาร HCAs นี้ในอาหาร ทำให้นักวิทยาศาสตร์ตื่นตัวทำการทดลองกับสาร HCAs กันมากขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งของงานวิจัยมุ่งหาวิธีการ มาตรการ ในการลดการเกิดสารนี้ในอาหาร
งานวิจัยหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ เป็นงานวิจัยของ Food Science Institute, Kansas State University นำทีมโดยศาสตราจารย์ Dr. J. Scott Smith ซึ่งได้ศึกษาผลของการใช้เครื่องเทศต่างๆ ในการหมักเนื้อสเต็กก่อนนำไปปิ้งหรือย่าง เพื่อศึกษาผลของเครื่องเทศต่อการลดการเกิด HCAs ในสเต็ก โดยเครื่องเทศที่นำมาใช้หมักเป็นเครื่องเทศผสมระหว่างโรสแมรี (rosemary), เซก (sage), ไทม์ (thyme), พริกไทย (pepper) โดยหมักเนื้อสเต็กกับเครื่องเทศผสม พร้อมทั้งน้ำส้มสายชู น้ำมัน เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนนำไปปิ้งบนเตาไฟฟ้าที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส
ผลการทดลองเปรียบเทียบระหว่างสเต็กที่ผ่านการหมักด้วยเครื่องเทศผสมกับสเต็ก ที่ผ่านการหมักด้วยน้ำส้มสายชูและน้ำมันที่ไม่มีเครื่องเทศผสม (ตัวอย่างควบคุม) เป็นที่น่าประหลาดใจว่า สเต็กที่ผ่านการหมักด้วยเครื่องเทศผสมนั้นมีปริมาณสารก่อมะเร็ง HCAs น้อยกว่าตัวอย่างควบคุมถึงร้อยละ 88 โดยคณะนักวิจัยให้เหตุผลว่าในเครื่องเทศผสมนั้นประกอบด้วยต้านอนุมูลอิสระ หลายชนิด ได้แก่ กรดโรสมารินิก, คาร์โนโซล และ กรดคาร์โนซิก ซึ่งสารเหล่านี้สามารถไปยับยั้งปฏิกิริยา maillard reaction ระหว่างน้ำตาล, ครีเอทีนหรือครีเอทินีน และ กรดอะมิโนทำให้สารก่อมะเร็ง HCAs ไม่สามารถเกิดขึ้นได้
เรียบเรียงโดย: นส.จีรัตดา ภูศรีฤทธิ์ 51010811131g3 (FN)
อ้างอิง:http://foodsciencetec.blogspot.com/
http://www.achute.com/index.php?mo=28&id=113720
สารต่อต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ
สารต่อต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ
ANTI OXIDANT AGENTS
เราได้ยิน ได้เห็น คำว่า “สารต่อต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant)” อยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียน ในการสัมมนา หรือโฆษณาจากวิทยุ โทรทัศน์ สารต่อต้านอนุมูลอิสระถูกเติมลงในอาหารเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ และยังช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คุณภาพของอาหาร
ANTI OXIDANT AGENTS
เราได้ยิน ได้เห็น คำว่า “สารต่อต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant)” อยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียน ในการสัมมนา หรือโฆษณาจากวิทยุ โทรทัศน์ สารต่อต้านอนุมูลอิสระถูกเติมลงในอาหารเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ และยังช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คุณภาพของอาหาร
สารอนุมูลอิสระ คือ สารที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ (free radical) อนุมูลอิสระส่วนใหญ่เป็นสารประกอบออกซิเจนหรือสารชนิดอื่นๆ ที่ไม่เสถียร เกิดขึ้นเมื่อร่างกายเผชิญกับมลภาวะต่างๆ ทั้งจากสิ่งแวดล้อม อาหาร หรือแม้แต่ความเครียด เมื่ออนุมูลอิสระถูกสร้างขึ้นในร่างกาย จะเข้าไปเกาะที่เซลล์ต่างๆ และพยามเปลี่ยนองค์ประกอบของเซลล์ หรืออนุมูลอิสระบางชนิดยังสามารถเข้าไปทำลายดีเอ็นเอ ส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งและโรคต่างๆ ตามมา ดังนั้น การมีสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายมีความสำคัญมาก เพื่อที่จะได้ไปจับกับอนุมูลอิสระเพื่อป้องกันผลร้ายต่างๆ ตามมา สารต้านอนุมูลอิสระมีทั้งชนิดสังเคราะห์และจากธรรมชาติ แน่นอนว่าของที่มาจากธรรมชาติย่อมดีที่สุด จากข้อมูลของบริษัท Frust and Sullivan (San Antonio, Texas) ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายสารต้านอนุมูลอิสระ เปิดเผยว่ายอดจำหน่ายของสารต้านอนุมูลอิสระชนิดจากธรรมชาติสูงกว่าชนิด สังเคราะห์มากในช่วงห้าปีหลัง
ตัวอย่างสารต้านอนุมูลอิสระจากสารสกัดธรรมชาติ
1) วิตามินอีจากธรรมชาติ
วิตามินอีจากธรรมชาติอยู่ในรูป d-tocopherol หรือ d-alpha-tocopherol ส่วนวิตามินอีสังเคราะห์จะอยู่ในรูป dl-tocopherol หรือ dl-tocopherol จากงานวิจัย พบว่า วิตามินอีในรูป d-form ซึ่งได้จากธรรมชาติมีผลดีต่อร่างกายมนุษย์อย่างน้อยสองเท่าเมื่อเทียบกับ วิตามินอีในรูป dl-form ซึ่งได้จากการสัเคราะห์ วิตามินอีมีความสามารถในการจับอนุมูลออกซิจนอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันเซลล์ถูกทำลาย และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะ ในผู้สูงอายุ สำหรับปริมาณวิตามินอีธรรมชาติที่แนะนำให้บริโภค สำหรับผู้ใหญ่ คือ 400-800 IU/วัน
วิตามินอีจากธรรมชาติอยู่ในรูป d-tocopherol หรือ d-alpha-tocopherol ส่วนวิตามินอีสังเคราะห์จะอยู่ในรูป dl-tocopherol หรือ dl-tocopherol จากงานวิจัย พบว่า วิตามินอีในรูป d-form ซึ่งได้จากธรรมชาติมีผลดีต่อร่างกายมนุษย์อย่างน้อยสองเท่าเมื่อเทียบกับ วิตามินอีในรูป dl-form ซึ่งได้จากการสัเคราะห์ วิตามินอีมีความสามารถในการจับอนุมูลออกซิจนอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันเซลล์ถูกทำลาย และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะ ในผู้สูงอายุ สำหรับปริมาณวิตามินอีธรรมชาติที่แนะนำให้บริโภค สำหรับผู้ใหญ่ คือ 400-800 IU/วัน
2) Green Tea Extract
สำหรับในประเทศแถบเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน หรือแม้แต่ไทย นิยมดื่มชากันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่สำหรับประเทศอเมริกาและยุโรปเพิ่งหันมาให้ความสนใจการดื่มชาเมื่อไม่นาน มานี้เนื่องจากทราบถึงสรรพคุณต่างๆ ต่อร่างกาย ชาเขียวเป็นชาที่พบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระมากที่สุด โดยสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในชาเขียว มีชื่อว่า ECCG (Epigallocatechin Gallate) ซึ่งเป็นสารประกอบพวกฟลาโวนอยด์ โดยได้พบว่า สารตัวนี้ช่วยป้องกันการทำลายของเซลล์และเนื้อเยื่อจากอนุมูลอิสระ ซึ่งมีผลในการป้องกันโรคหัวใจ โรคฟันและเหงือก รวมถึงช่วยควบคุม glucose metabolism ให้เป็นไปตามปกติ ตวามสามารถในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระของ ECCG สูงกว่าวิตามินซีและอีถึง 25-1000 เท่า และนี่เป็นคำตอบว่าทำไมชาวญี่ปุ่นที่ดื่มชาเขียวกันมานาน ถึงมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน
3) Rosemary Extract
3) Rosemary Extract
คนไทยอาจจะไม่คุ้นกับโรสแมรีกันซักเท่าไหร่ โรสแมรีเป็นสมุนไพรที่มักใช้เพื่อให้กลิ่นและรสชาติในอาหารอเมริกันและยุโรป โรสแมรี (Rosmarinum officinalis L.) มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น rosmarinic acid, carnosol และ carnosic acid ซึ่งสารเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการชะลอและป้องกันเซลล์จากการถูกทำลาย จากอนุมูลอิสระ ในอุตสาหกรรมอาหารมีการใช้สารสกัดโรสแมรีเป็นเวลานานแล้ว เพื่อช่วยยืดอายุการเก็บรักษา ลดการเกิดการหืนในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ เมื่อเร็วๆ นี้ European Safety Authority (EFSA) ได้ยอมรับให้ผู้ผลิตอาหารสามารถใช้สารสกัดโรสแมรีเพื่อเป็นสารต้านอนุมูล อิสระในอาหารชนิดต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย ข้อดีของสารสกัดโรสแมรี คือ สามารถทนความร้อนได้สูงถึง 240 ºซ จึงเหมาะสำหรับใช้เติมในน้ำมันทอดและขนมขบเคี้ยว
4) Pomegranate Extract
การใช้สารสกัดจากทับทิมยังไม่ค่อยแพร่หลายนัก ทับทิมเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลที่สำคัญ คือ ellagic acid ซึ่งมีประสิทธิภาพในการจับอนุมูลอิสระสูงมาก จากงานวิจัย พบว่า สารสกัดทับทิมช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ โดยลดและป้องกันเซลล์ถูกทำลายจาก LDL oxidation, macrophage oxidative และ foam cell formation นอกจากนี้ สารสกัดทับทิมช่วยลดความดันโลหิตโดยยับยั้งการทำงานของ serum angiotension converting enzyme (ACE) ทำให้ตอนนี้นักวิจัยหันมาให้ความสนใจสารสกัดทับทิมเพิ่มขึ้นมาก
5) Grape Seed Extract
สารสกัดองุ่นประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด สารที่สำคัญ คือ oligomeric procyanidins (OPCs) และ resveterol ซึ่งพบว่ามีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีและอีถึงห้าสิบ เท่า ดังนั้น สารสกัดองุ่นมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย รักษาอาการต่างๆ ที่มีต้นเหตุมาจากอนุมูลอิสระ เช่น อาการปวด, ลดอาการอักเสบ, หลอดเลือดเปราะ, chronic venous insufficiency, varicose veins, macular degeneration และ diabetic retinopathy นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่า OPCs ช่วยทำให้ผิวใส ระบบการหมุนเวียนเลือดเป็นปกติ ช่วยป้องกันคอลลาเจนถูกทำลายซึ่งเป็นสาเหตุของการเหี่ยวย่นเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้น สารสกัดองุ่นจึงถูกนำมาใช้ในเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว
สารสกัดองุ่นประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด สารที่สำคัญ คือ oligomeric procyanidins (OPCs) และ resveterol ซึ่งพบว่ามีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีและอีถึงห้าสิบ เท่า ดังนั้น สารสกัดองุ่นมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย รักษาอาการต่างๆ ที่มีต้นเหตุมาจากอนุมูลอิสระ เช่น อาการปวด, ลดอาการอักเสบ, หลอดเลือดเปราะ, chronic venous insufficiency, varicose veins, macular degeneration และ diabetic retinopathy นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่า OPCs ช่วยทำให้ผิวใส ระบบการหมุนเวียนเลือดเป็นปกติ ช่วยป้องกันคอลลาเจนถูกทำลายซึ่งเป็นสาเหตุของการเหี่ยวย่นเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้น สารสกัดองุ่นจึงถูกนำมาใช้ในเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว
6) lycopene
ไลโคปีนเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบมากในมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ นักวิจัยพบว่าไลโคปีนซึ่งมีสมบัติการต้านอนุมูลอิสระสูงมากสามารถลดอัตรา เสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ งานวิจัยล่าลุด นักวิจัยได้ทดลองในกลุ่มผู้ชายจำนวน 50,000 คน โดยให้รับประทานมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศมากกว่า 10 ครั้งต่อหนึ่งสัปดาห์ ผลการทดลองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจอนว่าสามารถลดอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ต่อมลูกหมากได้ถึง 34%
7)สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ได้ดีอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งนอกจากประโยชน์ในการแก้ปัญหาเรื่องฝ้าด้วยการควบคุมการทำงานของกระบวนการสร้างเม็ดสีในร่างกายให้อยู่ในสภาวะที่สมดุล ไม่ผลิตเม็ดสีออกมาผิดปกติจนเป็นฝ้า, กระ แล้ว ยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณและสุขภาพร่างกายโดยรวมอีกด้วย
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ได้ดีอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งนอกจากประโยชน์ในการแก้ปัญหาเรื่องฝ้าด้วยการควบคุมการทำงานของกระบวนการสร้างเม็ดสีในร่างกายให้อยู่ในสภาวะที่สมดุล ไม่ผลิตเม็ดสีออกมาผิดปกติจนเป็นฝ้า, กระ แล้ว ยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณและสุขภาพร่างกายโดยรวมอีกด้วย
เกร็ดน่ารู้ที่นำมาเล่าสู่กันฟัง
การหมักเนื้อด้วยเครื่องเทศก่อนนำไปทอด ปิ้ง หรือย่าง ช่วยลดสารก่อมะเร็ง
เนื้อปิ้ง หมูปิ้ง เนื้อน้ำตก สเต็ก ไก่ย่าง ......คงเป็นเมนูโปรดของใครหลายคน แต่ทราบหรือไม่ว่า ในอาหารเหล่านี้อาจมีสารก่อมะเร็งที่มีชื่อว่า Heterocyclic Amines (HCAs) ซึ่งเกิดขึ้นได้จากปฏิกิริยา Maillard reaction โดยมีสารตั้งต้นที่สำคัญ คือ น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว, ครีเอทีน หรือ ครีเอทินีน ซึ่งเป็นสารที่พบในกรดอะมิโนและกล้ามเนื้อของสัตว์สถาบัน IARC (Intenational Agency for Research on Cancer) ได้จัดลำดับสาร HCAs ให้อยู่ในประเภทสารกลุ่ม 2A ซึ่งหมายถึงว่า สาร HCAs นี้มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าก่อให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง แต่ยังมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสารนี้สามารถให้ก่อมะเร็งในมนุษย์ได้ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานต่างๆ ได้ออกมากระจายข่าวสารเพื่อให้ผู้บริโภคตระหนักถึงภัยที่อาจจะเกิดขึ้นจาก สารนี้ โดยแนะนำว่าควรจะหลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ส่วนที่ไหม้ และไม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไปในทุกๆ มื้อ ควรจะรับประทานทั้งผัก ผลไม้ ประกอบกันในอาหารหนึ่งมื้อ จากการค้นพบสาร HCAs นี้ในอาหาร ทำให้นักวิทยาศาสตร์ตื่นตัวทำการทดลองกับสาร HCAs กันมากขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งของงานวิจัยมุ่งหาวิธีการ มาตรการ ในการลดการเกิดสารนี้ในอาหาร งานวิจัยหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ เป็นงานวิจัยของ Food Science Institute, Kansas State University นำทีมโดยศาสตราจารย์ Dr. J. Scott Smith ซึ่งได้ศึกษาผลของการใช้เครื่องเทศต่างๆ ในการหมักเนื้อสเต็กก่อนนำไปปิ้งหรือย่าง เพื่อศึกษาผลของเครื่องเทศต่อการลดการเกิด HCAs ในสเต็ก โดยเครื่องเทศที่นำมาใช้หมักเป็นเครื่องเทศผสมระหว่างโรสแมรี (rosemary), เซก (sage), ไทม์ (thyme), พริกไทย (pepper) โดยหมักเนื้อสเต็กกับเครื่องเทศผสม พร้อมทั้งน้ำส้มสายชู น้ำมัน เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนนำไปปิ้งบนเตาไฟฟ้าที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส ผลการทดลองเปรียบเทียบระหว่างสเต็กที่ผ่านการหมักด้วยเครื่องเทศผสมกับสเต็ก ที่ผ่านการหมักด้วยน้ำส้มสายชูและน้ำมันที่ไม่มีเครื่องเทศผสม (ตัวอย่างควบคุม) เป็นที่น่าประหลาดใจว่า สเต็กที่ผ่านการหมักด้วยเครื่องเทศผสมนั้นมีปริมาณสารก่อมะเร็ง HCAs น้อยกว่าตัวอย่างควบคุมถึงร้อยละ 88 โดยคณะนักวิจัยให้เหตุผลว่าในเครื่องเทศผสมนั้นประกอบด้วยต้านอนุมูลอิสระ หลายชนิด ได้แก่ กรดโรสมารินิก, คาร์โนโซล และ กรดคาร์โนซิก ซึ่งสารเหล่านี้สามารถไปยับยั้งปฏิกิริยา maillard reaction ระหว่างน้ำตาล, ครีเอทีนหรือครีเอทินีน และ กรดอะมิโนทำให้สารก่อมะเร็ง HCAs ไม่สามารถเกิดขึ้นได้
เนื้อปิ้ง หมูปิ้ง เนื้อน้ำตก สเต็ก ไก่ย่าง ......คงเป็นเมนูโปรดของใครหลายคน แต่ทราบหรือไม่ว่า ในอาหารเหล่านี้อาจมีสารก่อมะเร็งที่มีชื่อว่า Heterocyclic Amines (HCAs) ซึ่งเกิดขึ้นได้จากปฏิกิริยา Maillard reaction โดยมีสารตั้งต้นที่สำคัญ คือ น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว, ครีเอทีน หรือ ครีเอทินีน ซึ่งเป็นสารที่พบในกรดอะมิโนและกล้ามเนื้อของสัตว์สถาบัน IARC (Intenational Agency for Research on Cancer) ได้จัดลำดับสาร HCAs ให้อยู่ในประเภทสารกลุ่ม 2A ซึ่งหมายถึงว่า สาร HCAs นี้มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าก่อให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง แต่ยังมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าสารนี้สามารถให้ก่อมะเร็งในมนุษย์ได้ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานต่างๆ ได้ออกมากระจายข่าวสารเพื่อให้ผู้บริโภคตระหนักถึงภัยที่อาจจะเกิดขึ้นจาก สารนี้ โดยแนะนำว่าควรจะหลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ส่วนที่ไหม้ และไม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไปในทุกๆ มื้อ ควรจะรับประทานทั้งผัก ผลไม้ ประกอบกันในอาหารหนึ่งมื้อ จากการค้นพบสาร HCAs นี้ในอาหาร ทำให้นักวิทยาศาสตร์ตื่นตัวทำการทดลองกับสาร HCAs กันมากขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งของงานวิจัยมุ่งหาวิธีการ มาตรการ ในการลดการเกิดสารนี้ในอาหาร งานวิจัยหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ เป็นงานวิจัยของ Food Science Institute, Kansas State University นำทีมโดยศาสตราจารย์ Dr. J. Scott Smith ซึ่งได้ศึกษาผลของการใช้เครื่องเทศต่างๆ ในการหมักเนื้อสเต็กก่อนนำไปปิ้งหรือย่าง เพื่อศึกษาผลของเครื่องเทศต่อการลดการเกิด HCAs ในสเต็ก โดยเครื่องเทศที่นำมาใช้หมักเป็นเครื่องเทศผสมระหว่างโรสแมรี (rosemary), เซก (sage), ไทม์ (thyme), พริกไทย (pepper) โดยหมักเนื้อสเต็กกับเครื่องเทศผสม พร้อมทั้งน้ำส้มสายชู น้ำมัน เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนนำไปปิ้งบนเตาไฟฟ้าที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส ผลการทดลองเปรียบเทียบระหว่างสเต็กที่ผ่านการหมักด้วยเครื่องเทศผสมกับสเต็ก ที่ผ่านการหมักด้วยน้ำส้มสายชูและน้ำมันที่ไม่มีเครื่องเทศผสม (ตัวอย่างควบคุม) เป็นที่น่าประหลาดใจว่า สเต็กที่ผ่านการหมักด้วยเครื่องเทศผสมนั้นมีปริมาณสารก่อมะเร็ง HCAs น้อยกว่าตัวอย่างควบคุมถึงร้อยละ 88 โดยคณะนักวิจัยให้เหตุผลว่าในเครื่องเทศผสมนั้นประกอบด้วยต้านอนุมูลอิสระ หลายชนิด ได้แก่ กรดโรสมารินิก, คาร์โนโซล และ กรดคาร์โนซิก ซึ่งสารเหล่านี้สามารถไปยับยั้งปฏิกิริยา maillard reaction ระหว่างน้ำตาล, ครีเอทีนหรือครีเอทินีน และ กรดอะมิโนทำให้สารก่อมะเร็ง HCAs ไม่สามารถเกิดขึ้นได้
เรียบเรียงโดย นส.จีรัตดา ภูศรีฤทธิ์ 51010811131g3(FN)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)